“ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม ร่วมกับ ททท. สำนักงานเชียงรายเชื่อมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ภายใต้โครงการ The Link Local to Global”
วันที่ 4 สิงหาคม 2566 เวลา 18.00 น. ณ ห้องอาหารภูภิรมย์ สิงห์ปาร์คเชียงราย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสมุทรสงคราม นำคณะผู้ประกอบการและสื่อมวลชนจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาครประมาณ 15 คน เดินทางเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายข้ามภูมิภาค พร้อมพบปะเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการในกิจกรรม Networking Dinner “จากปลาทู สู่รากชูเชียงราย” โดยมีนายสมหวัง บุญระยอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยตัวแทนจากสมาคมโรงแรม ธุรกิจนำเที่ยว ต่างๆในเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม
นายวิสูตร บัวชุม ผอ.ททท.เชียงราย กล่าวถึงสถานะการณ์ท่องเที่ยวเชียงรายปัจจุบันที่เริ่มฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยในปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 71.2% มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากว่า 3.16 ล้านครั้ง สร้างรายได้ 2.3 หมื่นล้าน สัดส่วนของการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 2.45 วัน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 3000 บาท/คน และการใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็อยู่ที่อาหารและเครื่องดื่ม 22.3% ทั้งนี้สัดส่วนนักท่องเที่ยวในปี 2566 ยังเป็นชาวไทย ในส่วนของต่างชาติ 5 อันดับแรกก็จะมี สหรัฐ จีน อังกฤษ สเปน เกาหลี เป็นต้น หลังจากนั้น ได้นำเสนอ Product Briefing ทำความรู้จักแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆของจังหวัดเชียงรายในหลากหลายมิติ โดยใช้อาหารท้องถิ่นเป็น Soft Power เสนอขายสินค้าภายใต้โครงการ The Link Local to Global เชื่อมโยงระหว่างภาคเหนือ และภาคกลาง เชียงราย-สมุทรสงคราม
ทางด้านนายอรรถพล วรรณกิจ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม กล่าวว่าการดำเนิน “โครงการ The Link Local to Global” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวเชื่อมโยงพื้นที่ Domestic to Domestic ในลักษณะการจับคู่จังหวัดร่วมขายหรือคู่ค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ได้รับการพัฒนาและยกระดับคุณภาพมาตรฐาน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ ภายใต้แนวคิดการนำวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ (5F : Food) ที่เป็น Soft Power ของไทย โดย ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม ร่วมกับ ททท. สำนักงานเชียงราย นำเสนอการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) เชื่อมโยงเรื่องราวและสัมผัสประสบการณ์อาหารท้องถิ่น ด้วยเมนูปลาทูแม่กลอง “หน้างอ คอหัก” แห่งจังหวัดสมุทรสงคราม ราชาแห่งปลาทู สุดยอดปลาทูไทยที่ได้รับการยอมรับในรสชาติความอร่อยแบบพิเศษเฉพาะตัว จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (GI) ของสมุทรสงคราม รังสรรค์ออกมาเป็นเมนูฟิวชั่นรวมกันระหว่างอาหารทะเลที่มีคุณค่าจากปลาทูแม่กลอง และอาหารวัฒนธรรมชาวอาข่าจาก “รากชู” ซึ่งมีความโดดเด่นและเป็นอัตลักษณ์ ทั้งในเรื่องของวัตถุดิบที่สดใหม่จากธรรมชาติของชาวอาข่า และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอาข่าเป็นเมนู “น้ำพริกรากชูปลาทูแม่กลอง” เชื่อมโยงเป็นเส้นทางท่องเที่ยว “จากปลาทู สู่รากชูเชียงราย” อีกทั้งจังหวัดเชียงรายยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพที่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสงครามได้อีกด้วย
โอกาสนี้ ททท. สำนักงานสมุทรสงคราม ได้นำคณะเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบ “กิจกรรม Networking Dinner” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ทั้ง 2 พื้นที่ ระหว่างสมุทรสงคราม- เชียงราย ได้ทำความรู้จัก หารือหรือเจรจาธุรกิจ ตลอดจนซื้อ-ขายสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยมีผู้ประกอบการฯ เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 60 คน ณ ร้านอาหารภูภิรมย์ สิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย
รวมถึงการนำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร เดินทางทัศนศึกษาด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อสำรวจข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว (Product Testing) ที่มีศักยภาพและพร้อมเสนอขาย อาทิ อาข่าฟาร์มวิลล์, Abonzo Paradise, Singha Park Chiang Rai, สกายวอล์คผาเงาสามแผ่นดิน, โครงการพัฒนาดอยตุงฯ วัดร่องขุ่น ฯลฯ รวมถึงสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนร่วมกับชุมชนตามแนวคิด Sustainable Tourism Goals (STG) ตลอดจนเรียนรู้ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของชุมชนอย่างลึกซึ้ง ณ วิสาหกิจชุนชนท่องเที่ยวเพื่อสังคมเชียงแสน ชุมชุนท่องเที่ยวปางห้าโฮมสเตย์ และหมู่บ้านผาหมี ณ จังหวัดเชียงราย ตลอดระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม 2566
ทั้งนี้ ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม คาดหวังว่ากิจกรรมดังกล่าว จะทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดและยกระดับคุณภาพมาตรฐานการบริการด้านการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวมากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงรายช่วยสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ก่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงข้ามภูมิภาค ระหว่างสมุทรสงคราม และเชียงรายอันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้กับทั้งสองพื้นที่ในอนาคตได้ต่อไป