หวังปีหน้าเก็บใบกระท่อมส่งออกจีนได้!! สองพี่น้องเพาะกล้าส่งเครือข่ายลูกไร่ปลูกเก็บขายราคาประกันกิโลฯ 200 ปรับสูตรเพาะกล้า”กระท่อม”ในโรงเรือน ส่งเครือข่ายลูกไร่ปลูกเก็บใบขายเข้าระบบคอนแทคฟาร์มมิ่ง ส่งออกจีนปีหน้า
หลังมีการปลดล็อกใบกระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติด สองพี่น้องชาวเชียงราย คือ น.ส.กชกร นรรัตน์ ตัวแทนบริษัทไร่เพชรตะวัน จำกัด พี่สาว และนายกฤชณัท กองสิงห์ ผู้จัดการฟาร์มกระท่อมบุญมีทรัพย์ น้องชาย เริ่มเดินหน้าเปิดฟาร์มกระท่อมขึ้นภายในบริเวณบ้านเลขที่ 329 หมู่ 1 ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย สร้างโรงเรือนเพาะ-อนุบาลต้นกล้ากระท่อม เพราะมองว่า “กระท่อม” คือพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีโอกาสขยายตัวทางการตลาดอีกมหาศาล โดยเฉพาะตลาด สป.จีน
นายกฤชนัท เปิดเผยว่าหลังประกาศปลดล็อกใบกระท่อมจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2564 ตนกับพี่สาวก็เริ่มศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการนำพืชกระท่อม ซึ่งปกติปลูกกันมากในภาคใต้มาปลูกในภาคเหนือ เพราะเห็นเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่และมีสรรพคุณมากจึงน่าจะมีตลาดที่เปิดกว้าง
โดยซื้อเมล็ดพันธุ์กระท่อมมาจาก จ.ชุมพร แล้วนำมาลงทุนปลูกตามหลักวิชาการเหมือนที่ภาคใต้ทุกอย่าง เช่น เพาะเมล็ดในกระบะพลาสติก ทำโรงเรือนในที่เปิดโล่ง ฯลฯ ปรากฎว่าต้นกล้ากระท่อมตายเกือบทั้งหมดตั้งแต่ยังอยู่ในกระบะพลาสติก นต้นกล้าที่รอดมาได้เมื่อนำมาเพาะในถุงพลาสติกแล้วพบกับอากาศที่หนาวเย็นของภาคเหนือก็ตายหมดเช่นกัน จนขาดทุนไปหลายแสนบาท แต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ เก็บความผิดพลาดมาเป็นประสบการณ์
นายกฤชนัท กล่าวว่าต่อมาช่วงปลายปี 2564 บริษัทไร่เพชรตะวัน จำกัด ได้เข้ามาส่งเสริมการปลูกพืชกระท่อมในเชียงราย โดยประกาศรับซื้อทั้งต้นกล้าและใบกระท่อมในราคาประกัน ตนจึงตัดสินใจลงทุนอีกครั้งด้วยการซื้อเมล็ดกล้าพันธุ์จากชุมพร จำนวน 2 กิโลกรัมๆ ละ 10,000 บาท
จากนั้นอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาสร้างโรงเรือน แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นแสลมสีดำป้องกันแดดและนำเมล็ดพันธุ์เพาะในกระบะพลาสติก รดน้ำครั้งเดียวก่อนปิดผนึกด้วยพลาสติกใสให้แน่นหนา แล้วทิ้งเอาไว้โดยไม่ต้องรดน้ำเพราะจะมีไอระเหยให้น้ำเองตามธรรมชาติ โดยทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 1 เดือนก็จะได้ต้นกล้าเล็กๆ
ซึ่งหากตนใช้วิธีเดิมคือเปิดถุงพลาสติกออกเพื่อรดน้ำต้นกล้าจะไม่งอกและตายเกือบหมด แต่เมื่อทำตามวิธีนี้ก็จะได้ต้นกล้างอกเราก็จะนำไปเพาะต่อในโรงเรือนใหญ่โดยใช้ถาดหลุมเพื่อบำรุงให้ต้นโตขึ้นก่อนจะนำใส่ถุงพลาสติกด้วยดินผสมสูตรสำหรับต้นกระท่อม จากนั้นบำรุงจนเจริญเติบโตอีก 1 เดือน ก็สามารถส่งให้เครือข่ายเพื่อนำไปปลูกได้
“ภาคใต้มีภูมิอากาศร้อนชื้นเหมาะกับวิธีการปลูกกระท่อมแบบกลางแจ้ง แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง และส่วนใหญ่เป็นฤดูร้อนกับหนาว หากเพาะหรืออนุบาลต้นกล้ากลางแจ้งจะทำให้ต้นกล้าไม่โตและตายได้ ซึ่งตนพิสูจน์แล้วจากประสบการณ์ และหลังใช้วิธีใหม่นี้ก็ได้ต้นกล้าประมาณ 100,000-200,000 ต้น ซึ่งจะใช้เวลาอีกเพียง 1 เดือน ต้นก็จะโตขนาด 15-20 ซม.สามารถส่งให้บริษัทและเกษตรกรนำไปปลูกอีก 1 ปี 5 เดือนก็เก็บใบขายได้”
และตามที่บริษัทไร่เพชรตะวัน จำกัด กำหนดราคารับซื้อในราคาประกันเป็นระยะเวลานาน 10 ปี คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 3 ปีก็จะได้ทุนคืน ส่วนในอนาคตทางบริษัทและเครือข่ายอยู่ระหว่างขออนุมัติองค์การอาหารและยา (อย.) สำหรับผลิตภัณฑ์ใบกระท่อม จากนั้นจะส่งออกไปจีนที่นิยมบริโภค โดยการเก็บผลผลิตและส่งออกจะเริ่มตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งตรงกับช่วงที่ใบกระท่อมของเกษตรกรที่นำไปปลูกพร้อมเก็บขายได้พอดี จึงคาดว่านับจากนี้ตลาดพืชกระท่อมจะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน
ด้าน น.ส.กชกร กล่าวว่าปัจจุบันทราบว่ามีเกษตรกรที่พร้อมจะรับต้นกล้าไปปลูกในเชียงราย ประมาณ 1,000 ราย โดยบางส่วนรอให้ผ่านพ้นการเก็บเกี่ยวข้าว-ข้าวโพด ก่อน จากนั้นจะเลิกปลูกข้าวแล้วปรับที่ดินเป็นคันสูงเพื่อปลูกต้นกระท่อมแทน เพราะบริษัทไร่เพชรตะวัน จำกัด จะรับซื้อใบสดคืนจากลูกไร่ในราคากิโลกรัมละ 200 บาท เป็นราคาประกันระยะเวลา 10 ปี ต้นกระท่อมอายุ 3 ปีขึ้นไปจะเก็บผลผลิตได้เดือนละ 1 ครั้ง ต้นหนึ่งให้ผลผลิต 1 กิโลกรัม ใน 1 ไร่จึงสร้างรายได้เดือนละ 20,000 บาท ส่วนการดูแลรักษาก็ง่ายกว่าข้าวเพราะเป็นไม้ยืนต้นที่ไม่ต้องปลูกบ่อยเหมือนพืชล้มลุกทั่วไปส่วนอายุของต้นก็ยาวนานมาก
รายงานข่าวแจ้งว่าก่อนหน้านี้บริษัทไร่เพชรตะวัน จำกัด บริษัทไอรดากรุ๊ป เฮลธ์แคร์ คอสเมติก จำกัด และบริษัทกระท่อมไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าแปรรูปกระท่อมและสมุนไพรไปจีน โดยมีการส่งเสริมการปลูกต้นกระท่อมในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งใกล้กับ สป.จีน ปัจจุบันมีการส่งเสริมการปลูกโดยร่วมกับเกษตรกรที่ลงทุนเพาะต้นกล้า เพื่อจัดส่งต้นกล้าให้กับเกษตรกรรายย่อยแทนการนำต้นกล้ามาจากภาคใต้.
ที่มา : https://mgronline.com/local/detail/9650000011988