วันนี้ (2 พ.ค. 65) ผู้ใช้เฟซบุ๊กต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง หลังพบมีผู้เผยแพร่คลิปภาพความยาวราว 16 วินาที ซึ่งปรากฏภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของโรงพยาบาลหลายคนกำลังยืนล้อมชาย 1 คน บริเวณด้านหน้าอาคารอุบัติเหตุฉุกเฉิน 14 ชั้น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ฝั่งถนนสนามบิน อ.เมืองเชียงราย ก่อนที่หนึ่งในผู้ที่แต่งกายเป็น รปภ.จะใช้หมัดชกเข้าที่ใบหน้าของชายคนดังกล่าวหลายครั้ง
ทั้งนี้หลังคลิปดังกล่าวเผยแพร่ ได้มีผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวโพสต์ข้อความชี้แจงว่ามีคนไข้บางคนมีอาการมึนเมาและเข้าไปก่อความวุ่นวายภายในห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เป็นการรุม 6 ต่อ 1 แต่เพราะมีอาการเมาและก่อความวุ่นวายจึงได้ช่วยกันพาตัวไปยังอีกฝั่งของถนนด้านหน้าโรงพยาบาล แต่ต่อมามีการใช้คำหยาบคายใส่เจ้าหน้าที่ ทำมีคนบันดาลโทสะ จนเกิดการทะเลาะวิวาทกับชายคนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ยืนยันว่าผู้โพสต์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวจริงหรือไม่ และคลิปที่ปรากฏสั้นเกินกว่าจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด โดยมีเพียงชายที่แต่งชุด รปภ.ชกชายคู่กรณีเพียงฝ่ายเดียว
ด้านอดีตเจ้าหน้าที่ รปภ.โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์คนหนึ่งกล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตนขอให้เห็นใจคนทำหน้าที่ รปภ.ในโรงพยาบาลด้วยเพราะมักจะมีผู้ป่วยหรือญาติที่พยายามจะเข้าไปห้องฉุกเฉินเพื่อไปหาผู้ป่วยเป็นประจำ บางครั้งก็มีผู้ป่วยเมา ป่วยทางจิต ฯลฯ ทำให้พวกตนต้องเสี่ยงเข้าไปห้ามปราม บางครั้งเสี่ยงต่อโควิด-19 หรือบางครั้งก็ถูกกระทบกระทั่ง
สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้จะสังเกตเห็นว่ามี รปภ.มากถึง 6 คน แสดงว่าต้องเกิดเรื่องร้ายแรงมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงขอให้สังคมได้ติดตามเรื่องราวให้ครบถ้วนและเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานเสี่ยงด้วย
ด้านโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ได้ออกประกาศชี้แจงว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 23.50 น. วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา แต่มีญาติแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม และพยายามเข้าไปในบริเวณพื้นที่รักษา ขณะมีผู้ป่วยคนอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก รปภ.จึงเข้าระงับเหตุและนำตัวผู้ก่อเหตุออกไปนอกพื้นที่รักษา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วยรายอื่น
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่มีเจตนาป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดแก่คนไข้ ญาติคนไข้และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลไม่ได้ละเลยโดยจะทำการสอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์เพื่อทราบข้อเท็จจริงและนำสู่กระบวนการตามขั้นตอนต่อไป